《โปรไฟล์》
President & CEO
Arima Rune
■เกิดปี 1974 ที่โตเกียว จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสตรีญี่ปุ่นเข้าทำงานที่บริษัทคาลบี้เมื่อปี 1998 หลังจากทำงานที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาสินค้าที่ฮิโรชิมาและโอซาก้า แล้วก็ย้ายมาทำงานที่คาลบี้ธนาวัธน์ แผนกมาร์เก็ตติ้งในปี 2006 และกลับไปรับผิดชอบงานขายต่างประเทศในปี 2010 – 2018ที่ญี่ปุ่น จนกระทั่งย้ายกลับมาประเทศไทยอีกในปี 2018 จนถึงปัจจุบัน
■คติประจำใจ:Whenever Possible, Choose Adventure
■บุคคลที่นับถือ:คุณย่าซึ่งบริหารกิจการโรงพิมพ์
■งานอดิเรก:ศึกษาภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ภาษาจีน ภาษาสเปน)
■นาฬิกาเรือนโปรด:SKARGEN FALSTER 2
■กระเป๋าใบโปรด:กระเป๋าเอกสารของ ACE PROTECA
■กิจกรรมวันหยุด:มวยไทย กอล์ฟ เดินทางท่องเที่ยว
ปีหน้าก็จะครบรอบ 40 ปีที่ก่อตั้งในไทย
นับจากปี 1980 ซึ่งเป็นปีก่อตั้ง ปี 2020 บริษัทก็จะครบรอบ40 ปี ตั้งแต่อดีตจนทุกวันนี้ต้นทุนขายหน้าร้านของสินค้าประเภทขนมขบเคี้ยวส่วนมากจะเป็นค่าขนส่งที่มีราคาสูง
การผลิตและขายในพื้นที่จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไป แต่บริษัทในไทยได้ทำการพัฒนาสินค้าผลิตและส่งออกไปขายยังประเทศต่างๆ ถึง 15 ประเทศซึ่งมียอดขายกว่า 30%
การผลิตและส่งออกโดยมีการค้นคว้าวิจัยเพื่อพัฒนาสินค้าเป็นจุดแข็งของบริษัทในไทย ด้วยเหตุนี้ ปีหน้าซึ่งจะครบรอบ 40 ปี เราจะถือเอาโอกาสอันดีนี้เพิ่มกลยุทธ์การส่งออกไปยังต่างประเทศให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น
ด้วยวิธีการอย่างไรบ้าง
ตอนนี้กระแสเพื่อสุขภาพกำลังได้รับความนิยม Harvest Snaps ขนมทำจากถั่วแระที่เราทำขายในออสเตรเลียก็ขายดีมาก อย่างอื่นก็ยังมีข้าวเกรียบกุ้งและบันบัน ซึ่งได้รับความนิยมที่สิงคโปร์มาก
เหตุผลก็คือเรามีการปรับเปลี่ยนรสชาติและแพคเกจให้เข้ากับคนในพื้นที่ รู้ตัวอีกทีก็ผลิตและส่งออกไปกว่า 15 ประเทศแล้ว
การทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักในพื้นที่ใหม่ๆโดยไม่ต้องลดราคาลงแบบนี้ ก็มาจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรานั่นเอง
เมื่อมองย้อนกลับไปหลังจากที่เข้ามาทำงานในบริษัทคาลบี้ได้ใหม่ๆก็เข้าทำงานในแผนกวิจัยและพัฒนาสินค้ามาก่อน โดยทำงานที่นั่น 4 ปี ก่อนที่จะย้ายมาประเทศไทย (ปี 2006 –2010) และครั้งนี้ก็เป็นการรับตำแหน่งครั้งที่สอง โดยครั้งแรกอาจจะเป็นเพราะมาจากแผนกวิจัยและพัฒนาสินค้า
จึงมีโอกาสได้เข้าร่วมงานพัฒนาสินค้าเพื่อให้เข้ากับคนไทย และดีใจมากที่สินค้าที่ทำออกมาในตอนนั้นก็ยังมีขายมาจนถึงปัจจุบัน
หลังจากที่กลับจากประเทศไทยครั้งแรกก็ได้รับมอบหมายงานเรื่องการสำรวจตลาดและความเป็นไปได้ของการลงทุนในต่างประเทศ ทำให้ได้รับประสบการณ์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
กลับมารับตำแหน่งที่ประเทศไทยอีกครั้ง เป็นอย่างไรบ้าง
เป็นสภาพแวดล้อมที่ดีมากเพราะสร้างรากฐานแน่นหนาเพียงพอแล้ว ต่อไปก็แค่เข้าสู่ยุคของการทดลองสิ่งใหม่ๆ และเพื่อนร่วมงานสมัยนั้นก็เก่งขึ้น ทำให้สามารถทำงานร่วมกันอีกได้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีค่ะ การลงทุนในต่างประเทศมักจะเกิดปัญหาระหว่างทีมงานชาวญี่ปุ่นกับทีมงานท้องถิ่น
แต่สำหรับบริษัทของเรามีผู้บริหารชายและหญิงในสัดส่วนครึ่งต่อครึ่งและมีชาวญี่ปุ่นมากกว่า และมีคนไทยเชื้อสายจีนทำงานอยู่ด้วย จึงไม่มีปัญหาทั้งด้านความเชื่อทางศาสนาและการแบ่งแยกเชื้อชาติ นับเป็นองค์กรที่มีความหลากหลายเป็นอย่างมาก ทำให้อัตราการลาออกของพนักงานก็น้อยลงด้วย
และการที่เรามีผู้บริหารชาวไทยเข้ามาร่วมด้วยก็เป็นสาเหตุที่เราเริ่มกิจกรรมเพื่อสังคมขึ้น โดยที่กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ทีมงานท้องถิ่นเป็นผู้เสนอให้บริษัท
ช่วยสนับสนุนด้วยตัวเอง เช่น มีพนักงานเสนอว่าอยากจะช่วยสร้างอาคารเรียนใหม่ให้กับโรงเรียนที่บ้านเกิด เป็นต้น
ประเทศไทยต่างจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งทุกคนต่างก็มีความเป็นอยู่ที่ดีอย่างเท่าเทียม แต่เพราะยังมีกลุ่มคนที่ยากจนอยู่และคนไทยเองก็มีความศรัทธาที่จะทำบุญด้วย
กิจกรรมเพื่อการกุศลแบบนี้ก็เป็นผลทำให้อัตราการลาออกของพนักงานลดลง องค์กรของเราก็มีรากฐานที่มั่นคงทำให้สามารถก้าวสู่เวทีต่อไปเพื่อเริ่มทำอะไรใหม่ๆ ได้
ได้ยินมาว่าเก่งเรื่องภาษาต่างประเทศ
ขอบคุณค่ะ ดิฉันไม่เคยไปเรียนต่างประเทศแต่เริ่มเรียนภาษาต่างๆ ตั้งแต่มาประจำที่ประเทศไทย
ที่ผ่านมาก็เรียนภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ภาษาจีน ภาษาสเปน และนำมาใช้กับการทำงานด้วย ตอนแรกๆก็ไปเรียนภาษาก่อนตอนเช้าแล้วมาทำงาน
ต้องพบกับความต่างในเรื่องขนบธรรมเนียมต่างๆ ในบริษัท ในแต่ละวันต้องทำงานมีสติอย่างเต็มที่เลยค่ะ
และการที่เราผ่านทั้งทุกข์และสุขมาด้วยกัน ทำให้มีความผูกพันกับทีมงานที่อยู่ด้วยกันมานานมากๆ เลยค่ะ อาจจะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ก็นับว่าองค์กรของเราทำงานอย่างมีความสบายใจในระดับหนึ่งค่ะ
และจากนี้ไป ก็อยากจะเปิดไลน์สินค้าใหม่ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่ได้ผลิตในเมืองไทย
อย่างเช่น ขนมขบเคี้ยวจากมันฝรั่งซึ่งเป็นสินค้าหลักของคาลบี้เช่นกัน รวมไปถึงสินค้าเพื่อสุขภาพประเภทอาหารเช้ากราโนลาที่ทำมาจากธัญพืชอย่างข้าวโอ๊ต ข้าวไรน์ค่ะ