「การเปิดกิจการใหม่ๆเป็นงานที่ถูกต้อง」
《โปรไฟล์》
ผู้จัดการทั่วไป
Sato Jo
■เกิดปี 1970 ที่โตเกียว หลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยริคเคียว ก็เข้าทำงานที่บริษัท JAL Hotels ในปี 1994 (ปัจจุบัน คือ โรงแรม Ogura Nikko Hotel Management) ผ่านประสบการณ์ทำงานที่นาริตะ เซี่ยงไฮ้ ฮานอย จากนั้นในปี 1999 ได้มาทำงานในแผนกนี้ในด้านการวางแผน การเงินและการบริหาร จนในปี 2010 ได้เป็นผู้จัดการทั่วไป ที่โรงแรมนิกโก้ สาขาเซี่ยงไฮ้ จนมารับตำแหน่งปัจจุบันในเดือนสิงหาคม ปี 2017
■คติประจำใจ:พูดจริงทำจริง
■บุคคลต้นแบบ:Hoshino Yoshiharu (ประธานบริษัท Hoshino resort)
■งานอดิเรก:เทนนิส กิจกรรมเอาท์ดอร์
■รถคันโปรดหรือรถที่ใช้อยู่:Alphard
■กิจกรรมวันหยุด:ตีกอล์ฟ ว่ายน้ำ
■ร้านที่ชอบไปในกทมฯ:ร้าน Hishou
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โรงแรมนิกโก้ แบงคอก ได้มาเปิดที่ทองหล่อโดยเน้นการนำเสนอคุณภาพการบริการในแบบญี่ปุ่น ซึ่งมีแผนการณ์รองรับความต้องการของลูกค้าชาวญี่ปุ่น
ทางนิตยสารได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์ผู้ริเริ่มการก่อตั้งโรงแรมอย่างคุณซาโต้ โจ ผู้จัดการทั่วไป
เส้นทางในการก่อตั้งโรงแรม
ผมมาที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2017 ใช้เวลาเตรียมตัวประมาณ 1 ปีครึ่ง โรงแรมจึงสามารถเปิดทำการได้ครับ ผมดำเนินงานตั้งแต่คิดคอนเซ็ปต์ของโรงแรม การออกแบบ สิ่งอำนวยความสะดวก จนกระทั่งการดูแลพนักงานครับ ตอนนี้ยังมีห้องและสิ่งอำนวยความสะดวกบางส่วนที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่จะสามารถเปิดใช้งานได้ทั้งหมดในเดือนกรกฎาคมนี้ครับ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 ที่มารับงานก่อตั้งโรงแรม ซึ่งผมคิดว่าเป็นงานที่ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ถึงแม้จะเป็นแบรนด์เดียวกัน แต่ถ้าไปตั้งอยู่ในทำเลและสถานการณ์ที่แตกต่าง ความต้องการของลูกค้าก็แตกต่างกันไปด้วยครับ ดังนั้น จึงจำเป็นจะต้องคิดค้นพัฒนาสิ่งที่เข้าได้กับสถานที่นั้นๆ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่น อีกทั้งยังตั้งอยู่ในทองหล่อ ซึ่งเป็นสถานที่ที่คนญี่ปุ่นเยอะ ทำให้การก่อตั้งโรงแรมดำเนินไปได้ด้วยดีครับ
จุดเด่นของโรงแรม
บริษัทของเรามาเปิดโรงแรมแห่งนี้เป็นแห่งที่ 2 ต่อจาก The Okura prestige Bangkok ซึ่งในครั้งนี้ จุดที่จะเน้นให้เห็นถึงความแตกต่าง ก็คือ การดูแลและบริการด้วยจิตวิญญาณแบบญี่ปุ่นครับ ตัวอย่าง เช่น การเทรนด์พนักงานในเรื่องการต้อนรับแขกครับ ผมคิดว่า การทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมดตามแบบของบริษัทต่างชาติก็มีข้อดีครับ แต่ว่าลูกค้าแต่ละคนก็มีความต้องการแตกต่างกันไป ผมจึงมีนโยบายให้พนักงานแต่ละคนบริการอย่างมีความยืดหยุ่นครับ ซึ่งพอคิดได้อย่างนั้น การคิดเกี่ยวกับเรื่องงานบริการนั้นจึงเป็นความสนุกที่แท้จริงของคนที่ทำงานโรงแรมครับ
อีกอย่างหนึ่งก็คือ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มครับ โรงแรมส่วนใหญ่จะเน้นบรรยากาศที่สงบและสะอาดสะอ้าน แต่เนื่องจากประเทศไทยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศแห่งรอยยิ้ม การบริการลูกค้าด้วยรอยยิ้มจึงเป็นที่คาดหวังอย่างมากครับ และเพื่อที่จะให้พนักงานบริการลูกค้าด้วยรอยยิ้มนั้น ตัวผมเองก็พยายามยิ้มให้บ่อยมากขึ้นครับ ผมอยากให้พนักงานรู้สึกกับผมเหมือนเป็นเพื่อนร่วมงาน มากกว่าเป็นเจ้านายครับ
นอกจากนี้ ไทยเป็นประเทศที่เข้าใจเรื่องการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีครับ ทำให้การสอนพนักงานเรื่องการบริการในแบบญี่ปุ่นนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย ตัวอย่างเช่น ระหว่างที่ขับรถ ถ้ามีคนให้ทาง คนไทยก็จะก้มหัวเบาๆเป็นการขอบคุณเหมือนกับคนญี่ปุ่น วัฒนธรรมที่มีจิตวิญญาณการเอาใจใส่ผู้คนแบบนี้นั้น ถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากเมื่อเทียบกับประเทศที่ไม่มีวัฒนธรรมแบบนี้ครับ
กลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือ คนญี่ปุ่น
ใช่ครับ ที่กรุงเทพฯมีโรงแรมหลากหลายแบรนด์จากทั่วโลก จึงมีการแข่งขันที่สูง โรงแรมแบบญี่ปุ่นของเราจึงพยายามอย่างมากที่จะตอบสนองความต้องการของคนญี่ปุ่นให้ได้มากที่สุด ห้องพักของแขกถูกออกแบบมาให้เรียบง่ายและดูสงบ และมีอ่างอาบน้ำทุกห้อง ข้อดีอีกอย่างหนึ่ง คือ มีชักโครกและห้องอาบน้ำที่แยกออกจากกัน อีกทั้งยังมีสุขภัณฑ์ไฮเทคอย่าง Toto Washlet ติดตั้งอยู่ทุกห้องด้วยครับ นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ที่อยู่ที่ชั้น 1 อย่างร้าน Hishou ด้วยครับ
โดยปกติแล้ว อาหารเช้าของโรงแรมทั่วไปจะเป็นอาหารชุด แต่ว่าที่ร้านแห่งนี้นั้นนำเสนอโอบันไซ (เครื่องเคียง) จานใหญ่ประมาณ 20 ชนิดให้เลือกทานได้ไม่อั้น หน้าตาของอาหารก็ยังดูสวยน่ารับประทาน คิดว่าหลายๆท่านน่าจะชอบครับ เนื่องจากมีเชฟคนญี่ปุ่นเป็นผู้ปรุง จึงมั่นใจในรสชาติความอร่อยของอาหารได้ครับ ร้านยังนำเสนอเมนูที่มีผักหลากหลาย เหล้าญี่ปุ่น โซจูของเกาหลีก็มีครบครัน ช่วงเวลาอาหารกลางวันมีเมนูหลัก 1 ชนิด เวลาอาหารเย็นเป็นบุฟเฟ่ต์แบบสั่ง ซึ่งถ้าสั่งเทมปุระมา ก็จะได้ทานโอบันไซแบบไม่อั้นครับ คิดว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามากๆเลยครับ
ได้เรียนรู้อะไรบ้างจากประสบการณ์ทำงานจนถึงปัจจุบันนี้
ผมได้เรียนรู้หลายๆอย่างจากการไปทำงานธุรกิจโรงแรมที่จีนและเวียดนาม ในช่วงตอนอายุ 20 ปีครับ ตอนนั้นประเทศแถบเอเชียกำลังอยู่ในช่วงพัฒนา นักธุรกิจจำนวนมากจึงเลือกจะพักที่โรงแรมแทนเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ ทำให้ผมมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับลูกค้ามากขึ้น บางคนสนิทถึงขั้นมีการพบปะเป็นการส่วนตัวเลยครับ ซึ่งการที่ได้รับฟังเสียงจากลูกค้าที่พักจริงๆนั้น เป็นการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่มากครับ
“ผมได้สร้างร้านอาหารญี่ปุ่น Hishou ตามแบบร้านที่ตัวผมเองก็อยากไปครับ” คุณซาโต้กล่าว